พื้นไม้ลามิเนต กับ พื้นกระเบื้องยาง ควรเลือกแบบไหน?


การเลือกพื้นสำหรับบ้านเป็นการตัดสินใจที่ค่อนข้างสำคัญ ไม่เพียงแต่จะส่งผลต่อความสวยงาม แต่ยังรวมถึงการใช้งานและความทนทานในระยะยาวอีกด้วย ซึ่งตัวเลือกยอดนิยมที่มักจะถูกนำมาเปรียบเทียบกัน ก็คือ กระเบื้องยาง และ พื้นลามิเนต ซึ่งแต่ละประเภทนั้นก็มีข้อดี - ข้อเสียที่แตกต่างกันไป

พื้นไม้ลามิเนต

 

เป็นวัสดุปูพื้นที่ผลิตขึ้นเพื่อใช้ทดแทนพื้นไม้จริง มีลักษณะเป็นแผ่นไม้หลายชั้นที่ถูกอัดและประกบเข้าด้วยกันด้วยความร้อนและแรงดันสูง โดยแต่ละชั้นมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันไป ดังนี้

 

1. ชั้น Overlay (Wear Layer) : เป็นชั้นบนสุด ทำจากเรซินใสที่มีความแข็งแรง ทนต่อรอยขีดข่วน และการสึกหรอ
2. ชั้น Decorative Layer : เป็นชั้นที่แสดงลวดลายต่างๆ ซึ่งมักจะเป็นลายไม้ แต่ก็มีลายอื่นๆ เช่น ลายหิน หรือลายแฟนซี
3. ชั้น Core Board (HDF) : เป็นชั้นแกนกลาง ทำจากไม้เนื้อแข็ง (Hard Density Fiberboard) ที่มีความหนาแน่นสูง ให้ความแข็งแรง และทนทานต่อแรงกระแทก
4. ชั้น Backing Layer : เป็นชั้นล่างสุด ทำจากเมลามีนเรซิน ช่วยป้องกันความชื้น และรักษาสมดุลของแผ่นไม้

ข้อดี

พื้นไม้ลามิเนต หรือ พื้นลามิเนต เป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ด้วยรูปลักษณ์ที่สวยงามใกล้เคียงกับไม้จริง แต่มาในราคาที่เป็นมิตรกว่ามาก นอกจากนี้ยังมีข้อดีอื่นๆ ที่น่าสนใจ ดังนี้

      • ความสวยงาม : มีให้เลือกหลากหลายลวดลาย และสีสัน ตอบโจทย์ทุกรสนิยมการตกแต่ง
      • ติดตั้งง่าย : ระบบคลิกล็อคช่วยให้การติดตั้งทำได้รวดเร็ว และง่ายดาย
      • ทนทานต่อรอยขีดข่วน : เหมาะสำหรับบ้านที่มีสัตว์เลี้ยง

ข้อเสีย

      • ไม่ทนน้ำ : ไม่เหมาะสำหรับพื้นที่ที่มีความชื้นสูง เช่น ห้องน้ำ ห้องครัว
      • เสียงดัง : อาจเกิดเสียงดังเมื่อเดินบนพื้น


ระบบการติดตั้งพื้นไม้ลามิเนต

แบ่งเป็น 2 ลักษณะ ระบบคลิกล็อค (Click Lock) ซึ่งจะติดตั้งง่าย รวดเร็ว และไม่ต้องใช้กาว และระบบเข้าลิ้น คล้ายกับการปูพื้นไม้จริง ต้องใช้กาวในการติดตั้ง

ค่ามาตรฐานความคงทนของพื้นไม้ลามิเนต

ค่าความคงทนของผิวหน้าพื้นไม้ลามิเนต ยิ่งมาก ก็หมายถึง พื้นไม้ลามิเนต สามารถทนต่อการขีดข่วนได้ดีมากเท่านั้น ดังนั้น AC5 จึงเป็นค่าที่ลูกค้าใฝ่ฝันมากกว่า AC1

        • AC1 : เหมาะสำหรับพื้นที่ใช้งานเบา เช่น ห้องนอน
        • AC2 : เหมาะสำหรับพื้นที่ใช้งานทั่วไป เช่น ห้องนั่งเล่น ห้องรับแขก
        • AC3 : เหมาะสำหรับพื้นที่ใช้งานหนัก เช่น ห้องครัว ร้านค้า
        • AC4 : เหมาะสำหรับพื้นที่ใช้งานหนักมาก เช่น ห้างสรรพสินค้า สำนักงาน
        • AC5 : เหมาะสำหรับพื้นที่ใช้งานหนักมากที่สุด เช่น สนามบิน โรงงาน

ความหนา

ความหนาของพื้นไม้ลามิเนตจะมี 2 แบบ คือ หนา 8 มม. และ 12 มม.

        • 8 มม. : เหมาะสำหรับปูพื้นชั้นสองของบ้านหรือคอนโด เนื่องจากมีน้ำหนักเบา และราคาถูก
        • 12 มม. : เหมาะสำหรับปูพื้นที่อยู่อาศัยทั่วไป ให้ความรู้สึกแข็งแรง และทนทานกว่า

ลักษณะพื้นผิวของพื้นไม้ลามิเนต

        • ผิวเรียบ (Woodgrain) : เป็นแบบพื้นฐานที่พบได้ทั่วไป ให้ความรู้สึกเรียบเนียน
        • ผิวสัมผัส (Embossed) : มีลักษณะเป็นลายนูน ให้ความรู้สึกเหมือนไม้จริงมากขึ้น มักใช้กับรุ่นที่มีร่องวี (V-Groove)

การดูแลรักษาพื้นไม้ลามิเนต

การดูแลรักษานั้น ควรหมั่นทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ 

        • กวาดหรือดูดฝุ่นทุกวัน : ฝุ่นละออง และเศษผงต่างๆ อาจทำให้เกิดรอยขีดข่วนบนพื้นผิวได้ ดังนั้นการกวาด หรือดูดฝุ่นเป็นประจำจึงเป็นสิ่งจำเป็น
        • ใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆ เช็ดทำความสะอาด : หลีกเลี่ยงการใช้ผ้าเปียกหรือน้ำปริมาณมาก เพราะอาจทำให้พื้นไม้บวมได้ หากมีคราบสกปรกฝังแน่น สามารถใช้น้ำยาทำความสะอาดสำหรับ พื้นลามิเนต โดยเฉพาะ
        • เช็ดคราบสกปรกทันที : คราบน้ำ คราบอาหาร หรือคราบอื่นๆ ควรถูกเช็ดออกทันทีที่เกิดขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้ซึมลงไปในเนื้อไม้



พื้นกระเบื้องยาง

กระเบื้องยาง เป็นวัสดุปูพื้นที่ผลิตจากโพลีไวนิลคลอไรด์ (PVC) ซึ่งเป็นโพลิเมอร์ชนิดหนึ่ง มีคุณสมบัติเด่นคือมีความยืดหยุ่นสูง ทนทานต่อการใช้งาน และมีลวดลายให้เลือกหลากหลาย ทั้งลายไม้ ลายหิน หรือลายอื่นๆ



ข้อดี

        • ทนน้ำ : สามารถปูได้ทุกพื้นที่ในบ้าน รวมถึงห้องน้ำและห้องครัว
        • ทนทาน : ทนต่อรอยขีดข่วน รอยบุบ และการสึกหรอได้ดีเยี่ยม
        • เก็บเสียง : ช่วยลดเสียงรบกวนจากการเดิน
        • ความรู้สึกนุ่ม : ให้สัมผัสนุ่มสบายเท้า
        • ลวดลายหลากหลาย : มีให้เลือกทั้งลายไม้ ลายหิน และลายอื่นๆ อีกมากมาย

ความหนาของกระเบื้องยาง

กระเบื้องยางมีความหนาหลายขนาด ซึ่งความหนาแต่ละขนาดเหมาะกับการใช้งาน ดังนี้

        • กระเบื้องยางหนา 2 มม.: เหมาะสำหรับพื้นที่ใช้งานเบา เช่น ห้องนอน
        • กระเบื้องยางหนา 3 มม.: เหมาะสำหรับพื้นที่ใช้งานทั่วไป เช่น ห้องนั่งเล่น
        • กระเบื้องยางหนา 4 มม. ขึ้นไป: เหมาะสำหรับพื้นที่ใช้งานหนัก เช่น ห้องครัว หรือพื้นที่เชิงพาณิชย์

การแบ่งประเภทกระเบื้องยาง

กระเบื้องยางสามารถแบ่งประเภทได้หลายแบบ ขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่ใช้ในการแบ่ง ดังนี้

การแบ่งประเภท
ตามวัสดุ

กระเบื้องยางธรรมชาติ: 
ผลิตจากยางพาราธรรมชาติ มีความยืดหยุ่นสูง ทนทานต่อการใช้งาน ไม่ฉีกขาดง่าย


กระเบื้องยางสังเคราะห์: 
ผลิตจากพอลิเมอร์สังเคราะห์ เช่น PVC มีความเหนียว ทนทานต่อรอยขีดข่วน ทำความสะอาดง่าย และราคาถูกกว่ากระเบื้องยางธรรมชาติ

ตามรูปแบบ

กระเบื้องยางแบบแผ่น (LVT): 
มีลักษณะเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมขนาดต่างๆ เช่น 15x90 ซม., 30x60 ซม. หรือ 60x60 ซม. นิยมใช้ในบ้านพักอาศัย


กระเบื้องยางแบบม้วน (Sheet Vinyl): 
มีลักษณะเป็นม้วนยาว นิยมใช้ในพื้นที่ขนาดใหญ่ เช่น โรงพยาบาล โรงเรียน หรือสำนักงาน

ตามวิธีการติดตั้ง

กระเบื้องยางแบบทากาว : 
ต้องใช้กาวในการติดตั้งกับพื้นผิว เหมาะสำหรับพื้นที่ที่มีการใช้งานหนัก

กระเบื้องยางแบบคลิกล็อค : มีระบบล็อคที่ช่วยให้สามารถประกอบแผ่นกระเบื้องเข้าด้วยกันได้ง่าย และรวดเร็ว โดยไม่ต้องใช้กาว
ตามลวดลาย

ลายไม้: เลียนแบบลวดลายของไม้จริง มีให้เลือกหลากหลายชนิด
ลายหิน: เลียนแบบลวดลายของหินอ่อน หินแกรนิต หรือหินชนิดอื่นๆ
ลายอื่นๆ: เช่น ลายผ้า ลายเรขาคณิต หรือลายแฟนซีต่างๆ

 

วิวัฒนาการของกระเบื้องยาง

วิวัฒนาการของกระเบื้องยางมีความน่าสนใจ และก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน โดยสามารถแบ่งเป็นช่วงต่างๆ ดังนี้

ยุคบุกเบิก (1930s-1970s ):

     • กระเบื้องยางเริ่มเป็นที่รู้จักในช่วงทศวรรษที่ 1930 โดยผลิตจาก Polyvinyl Chloride (PVC) ซึ่งเป็นวัสดุสังเคราะห์ที่มีความทนทานและยืดหยุ่น
     • ในช่วงแรก กระเบื้องยางมีลวดลาย และสีสันจำกัด มักใช้ในพื้นที่เชิงพาณิชย์ และอุตสาหกรรม เนื่องจากมีความทนทานต่อการสึกหรอ และสารเคมี
     • ในช่วงทศวรรษที่ 1970 มีการพัฒนาเทคโนโลยีการพิมพ์ ทำให้สามารถผลิตกระเบื้องยาง ที่มีลวดลายหลากหลายขึ้น เช่น ลายไม้ ลายหิน และลายอื่นๆ




ยุคเติบโต (1980s-2000s) :

     • กระเบื้องยางเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นในครัวเรือน เนื่องจากมีราคาถูกกว่าวัสดุปูพื้นอื่นๆ เช่น ไม้จริง หรือหินอ่อน
     • มีการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิต ทำให้กระเบื้องยางมีความทนทาน และสวยงามมากขึ้น
     • มีการนำเสนอรูปแบบกระเบื้องยางที่หลากหลายขึ้น เช่น กระเบื้องยางแบบแผ่น (LVT) และกระเบื้องยางแบบม้วน (Sheet Vinyl)




ยุคปัจจุบัน (2010s-ปัจจุบัน) :

     • กระเบื้องยาง ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายทั้งในครัวเรือน และเชิงพาณิชย์ เนื่องจากมีคุณสมบัติที่โดดเด่นหลายประการ เช่น ทนทานต่อน้ำ ความชื้น รอยขีดข่วน และการสึกหรอ
     • มีการพัฒนากระเบื้องยาง ที่มีความหนาและคุณภาพสูงขึ้น เพื่อเพิ่มความทนทานและอายุการใช้งาน
     • มีการนำเทคโนโลยีการพิมพ์ดิจิตอลมาใช้ในการผลิต ทำให้สามารถสร้างลวดลายที่ละเอียด และสมจริงมากขึ้น เช่น ลายไม้ที่มีเท็กซ์เจอร์เสมือนจริง
     • มีการพัฒนาระบบคลิกล็อค (Click Lock) ที่ช่วยให้การติดตั้งกระเบื้องยางทำได้ง่าย และรวดเร็วขึ้น
     • มีการให้ความสำคัญกับความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยมีการผลิตกระเบื้องยางจากวัสดุรีไซเคิล และลดการใช้สารเคมีที่เป็นอันตราย




อนาคตของกระเบื้องยาง :

     • คาดว่ากระเบื้องยางจะยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องในอนาคต เนื่องจากมีคุณสมบัติ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน
     • จะมีการพัฒนาเทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และความสวยงามของกระเบื้องยาง
     • จะมีการให้ความสำคัญกับความยั่งยืน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นในการผลิตกระเบื้องยาง

ด้วยพัฒนาการที่ไม่หยุดนิ่ง กระเบื้องยางจึงเป็นวัสดุปูพื้นที่น่าจับตามอง และมีศักยภาพในการเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต


สรุปแล้ว ถ้าชอบความสวยงามแบบไม้ และต้องการประหยัดงบ พื้นไม้ลามิเนตอาจเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ แต่ควรหลีกเลี่ยงการใช้ในบริเวณที่เปียกชื้น ถ้าต้องการพื้นที่ทนทาน ใช้งานได้หลากหลาย และลดเสียงรบกวน พื้นกระเบื้องยาง เป็นตัวเลือกที่น่าลงทุน

สุดท้ายแล้ว การเลือกพื้นที่ดีที่สุดขึ้นอยู่กับความต้องการ งบประมาณ และสไตล์การตกแต่งของแต่ละคน ลองสำรวจพื้นที่ และพิจารณาข้อดีข้อเสียของแต่ละประเภท เพื่อให้ได้พื้นที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคุณอย่างแท้จริง